Category Archives: พูดเรื่องบุญ

รักด้วยเลือด

บริจาคเลือด

ด้านหน้าศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ

        วันนี้มีโอกาสดีได้ไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย นั่งรอนานมากกว่า70คิว ชั่วโมงกว่า ที่นานเพราะรีบกลับ เดิมทีว่าจะไปชุมนุมทางการเมืองต่อ แถวราชประสงค์ เพราะไม่ได้ร่วมมานานแล้วตั้งแต่วันที่เขาเรียกว่าปิ๊กนิคเดย์ แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไปคงได้ของที่ระลึกกลับมาอีกแน่

        เจาะเลือดวันนี้ เลือดจาง อยู่ที่13.9g/dl พยาบาลขู่น่ากลัวมาก กลัวกระดูกตัวเองจะไม่แข็งแรง เพราะผมไม่ค่อยกินธาตุเหล็ก(ลืมจนชิน) อีกอย่างนอนดึก ไม่กินข้าวเช้าด้วย เลยโดนสอนสั่งเป็นนักเรียนไปเลย

        ที่มาวันนี้เพราะได้ยินข่าวเขาจะลั่นกลองรบ คนไทยไม่ได้ไปรบกับใครที่ไหน ประชาชนไทยจะต่อสู้กันเองซะงั้น กรรมของประเทศไทยแท้ๆ ที่มาก็เพื่อบริจาคเลือดไว้สำรองสถานการณ์ฉุกเฉินวันข้างหน้า บริจาคเสร็จแล้ว ก็แล้วไป แต่ต่อไปจะต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ เจาะเลือด คราวหน้าจะต้อง 15g/dl up ให้จงได้

        เดือนกุมภา เขาว่าเป็นเดือนแห่งความรัก การบริจาคเลือดคือการแสดงออกอีกรูปแบบหนึ่งของการแสดงออกถึงความรัก ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์แบบไม่จำเพาะเจาะจง  ถ้าการให้ของคนปราศจากซึ่ง มานะ มิจฉาทิฐิ เป็นการให้ที่บริสุทธิ์ใจ เพื่อหวังให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ผมเชื่อว่าการให้นั้นเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ และเป็นก้าวแรกของการทำบุญที่เรียกว่าทานบารมี และหากจะให้ดีขึ้นไปกว่านี้ ควรให้ทานนี้เป็นสะพาน หรือเป็นบันได ก้าวไปสู่ศีล และภาวนา ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ ไม่ควรติดอยู่ที่การให้ทาน ทานเป็นเพียงการฝึกละความตระหนี่ ฝึกละการยึดมั่นในข้าวของ ทรัพย์สิน เงิน ทอง อวัยวะ เลือด เนื้อ ตัวตน ซึ่งเป็นหัวใจของการให้ทาน แต่การให้ทานไม่ได้ประกันว่าคุณมีศีล หรือจะไม่ทำบาป ฉะนั้นศีลจึงเป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นอีก สุดท้ายที่การภาวนา เป็นสิ่งสูงสุดของการสร้างบุญกุศล สร้างสมาธิ สร้างปัญญา ให้เกิดขึ้นในจิตในใจ คุณภาพจิตที่ดี จิตที่มีกำลังจะเกิดขึ้นจากสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรก้าวไปให้ถึง

        วันนี้ความรักของผมสีแดง คือรักด้วยเลือด เลือดที่เสียสละ เพื่อผู้อื่น แม้จะไม่ได้ออกไปต่อสู้ด้วยแรง ด้วยกำลังอะไรกับใคร แต่ผู้บริจาคเลือดทุกคนเป็นผู้ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง

สุกี้ทั้งเดือน

          เดือนนี้ทำสุกี้กินเองตลอดทั้งเดือน น่าจะมากเกินกว่า 15 มื้อเห็นจะได้ หมดน้ำจิ้มสุกี้ไป 3 ขวด ทำไปได้ยังไง ไม่รู้เบื่อบ้างเลยเนาะ น้ำจิ้มสุกี้รู้สึกว่าจะแพงไป ต่อไปเปลี่ยนมากินแจ่วฮ้อนดีกว่า แค่น้ำปลาใส่พริกผงปรุงรสนิดหน่อยก็อร่อยแล้ว เปลี่ยนเมนูผักอีกนิดหน่อย ก็กลายมาเป็นเมนูสุดโปรดแล้ว แจ่วฮ้อนเป็นเมนูที่ชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้ามีแจ่วฮ้อนจะกินข้าวหมดหลายจานมาก ดูเป็นไอ้ตะกะกินทันที

          เมื่อเดือนนี้กินสุกี้บ่อยขนาดนี้ สุกี้จึงกลายเป็นเมนูใส่บาตรพระในยามเช้าไปด้วย เดือนนี้ใส่บาตรด้วยสุกี้น่าจะ 3-4 ครั้งนะ จำไม่ได้ ทั้งที่เดือนนี้ใส่บาตรน้อยครั้งมาก ได้ 9 วัน แต่ก็เอาละ พอใจๆ

          วันนี้ทำสุกี้สำหรับใส่บาตร 2 ชุด รีบมาก โป๊กป๊ากๆ เสร็จใส่ถุง ด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ ในเช้าที่อากาศร้อนอบอ้าว ทั้งๆที่ฝนตกเมื่อคืนแท้ๆ นี้เองการทำบุญด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ ตักเสร็จอะไรเสร็จไม่ได้ล้างมือ เช็ดเหงื่ออะไรเลย เพราะกลัวไม่ทันพระ

          ต่อจากนั้นเราก็มาสุกี้ของเราต่ออีกมื้อ เฮ้อ! อีกแล้ว ความรู้สึกบอกอย่างงั้น แต่กินทีไรก็อร่อยทุกที อร่อยเพราะเราทำอร่อยหรือว่าน้ำจิ้มที่ซื้อมามันอร่อย หรือว่าทั้งสองอย่าง หรือว่าวันๆหนึ่งเรากินข้าวแค่วันละมื้อสองมื้อ มันเลยรู้สึกหิว อะไรก็เลยอร่อย แม้แต่อะไรที่มันซ้ำซากจำเจก็ยังอร่อยไม่รู้เบื่อ แต่ว่าไปแล้วเราก็กินจำเจอยู่แล้ว กินข้าวกินอยู่ได้(ก็บ้านปลูกข้าว) ทุกวันก็กินข้าวจากผืนนาบ้านตัวเอง ข้าวที่ใส่บาตรก็ข้าวจากที่มาแหล่งเดียวกัน ข้าวจานไหนก็ไม่สู้ข้าวของเราเอง หลายขั้นตอนที่เรามีส่วนในขบวนการกว่าจะกลายมาเป็นข้าวสุกร้อนๆ มันมีความภาคภูมิใจ ภูมิใจที่บ้านของเราทำนาเอง มีกิน ไม่ต้องซื้อข้าวใครกิน วันไหนที่ซื้อข้าวคนอื่นกิน ให้สำนึกในใจ ว่าเราอยู่ในสถานะที่สมควรซื้อแล้วหรือในตอนนั้น

          โดยส่วนตัวไม่ชอบเข้าไปนั่งกินหรือซื้อของกินในร้านแฟรนไชส์ชื่อดังทั้งหลาย(เพราะไม่มีตังค์) เป็นความรู้สึกไม่เชิงต่อต้าน แต่ไม่สนับสนุน ไม่อุดหนุน ชีวิตนี้กินก็แค่อิ่ม อร่อยบ้างตามอัตภาพ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อคุณค่าเทียมของอาหารที่มันแพงไป กินเพื่อความเพลิดเพลิน เมามัน สนุกสนาน ประดับตกแต่งในตัวอาหารหรือในตัวสถานที่ เพื่อสร้างอัตลักษณ์ในตัวเอง เหล่านี้ล้วนเป็นของเทียมที่บวกราคาเข้าไป แต่ที่จริงเรากินเพื่อความเป็นไปได้ของอัตภาพร่างกายที่เราอาศัยนี้ คือเพื่อดับความหิว ที่เป็นทุกข์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ให้เบาบางในแต่ละมื้อแต่ละวัน เพื่อมีชีวิตสร้างประโยชน์ในโลกนี้ต่อไป

          การกินเหลือในแต่ละครั้งให้สำนึกไว้ด้วยว่า ยังมีคน สัตว์ สิ่งมีชีวิตอีกมากมายที่มีความหิวโหย เป็นไปได้ไหมที่จะทำเท่าพอกิน ซื้อเท่าที่พอกิน ถ้าจะกินไม่หมดก็ให้แบ่งปันก่อน ถ้าแบ่งแล้วอะไรแล้วเรายังกินเหลืออีก ก็ให้มองเห็นสัตว์อื่นๆ หมู หมา เป็ด ไก่ ไม่ว่าจะเป็นที่เลี้ยงไว้หรือจรมาก็ตาม มันก็ยังพอมีประโยชน์ต่อพวกเขาเหล่านั้น แม้ที่บ้านจะไม่ได้เลี้ยงหมาแล้ว แต่ก็ยังมีหมาจากบ้านอื่นมารอ เวลาล้างถ้วยล้างจาน เศษอาหาร ก็ยังสาดออกไป ให้เป็ดให้ไก่ หรือถ้ามีเศษผัก เศษอาหารมากก็อาจจะรวบรวมไว้ให้คนที่เขาเลี้ยงสัตว์มารับเอาไปเลี้ยงสัตว์เขา หรือจะนำมาหมักเป็นอาหารหรือเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้อะไรก็แล้วแต่ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์สูงสุดของอาหาร ไม่เพียงมองแค่อิ่มท้องเราเท่านั้น แต่เป็นการเผื่อไปยังคนอื่น สัตว์และสิ่งมีชีวิต รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่จะได้ประโยชน์จากแนวความคิดของคนที่รู้จักคิดและลงมือทำตามแนวคิดที่ถูกที่ควร ทำอย่างคนมีปัญญา มีความเมตตากรุณา มีความเข้าใจในชีวิต มุ่งปรับปรุงคุณภาพทางจิตวิญญาณ(โอ้โห) นี้แหละการกินอย่างมีศิลปะ มันต้องมีความละเอียดอ่อน ปราณีต มองให้ลึก มองให้เห็น และแสดงมันออกมาในรูปแบบของการดำเนินชีวิต

          พูดเรื่องสุกี้ก็เลยวกเข้าไปเป็นธรรมะอีกจนได้

เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา


      วันเวลาผ่านไป ได้เปลี่ยนจากเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นพ่อแม่คน มีลูก มีหลาน มีเหลน เป็นเวลากว่า 84 ปี ผ่านเรื่องราวต่างในชีวิตมามากมาย ร่างกายก็เสื่อม ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงเหมือนอย่างเดิม โรคภัยต่างๆก็รุมเร้า เจ็บปวดทรมานแค่ไหนใครจะรู้ได้เท่าเมื่อได้อยู่ในสภาวะนั้นเอง หูก็ไม่ค่อยได้ยิน ตาก็ฝ้าฟาง เดินเหินก็ลำบาก อยากให้มีคนมาสนใจ ห่วงใยไถ่ถาม ดูแลสาระทุกข์สุขดิบ พอได้มีแรงใจ กำลังใจ สู้กับชีวิตวัย ที่สังขารกำลังค่อยๆร่วงโรยลงไปทีละน้อย เวลาของการของการมีชีวิตเหลือน้อยเต็มที อะไรๆก็พอสมควร แล้วก็ละวาง ปล่อยไป แม้แต่ร่างกายนี้ก็คอยวันที่จะแยก แตกสลายคืนสู่ธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมี ที่เคยเป็นเจ้าของทั้งหลายต่อไปก็ต้องเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง เพียงแค่ได้อาศัยเพื่อความพอเป็นไปได้ของชีวิต วันนี้แม่ ย่า/ยาย ย่า/ยายทวดเหนื่อยเหลือเกิน เจ็บเหลือเกินลูกหลานเอ๋ย โรคภัยก็รุมเร้าร่างกายนี้หนักเหลือเกิน ไม่รู้จะเป็นหรือตายลูกหลานเอ๋ย คงไม่มีอะไรที่ต้องห่วงอีกแล้ว บุญทานก็ทำมาดีแล้ว หากต้องไปจริงๆ สวรรค์วิมานบนชั้นฟ้าคงสร้างเสร็วไว้รอแล้ว ไม่ต้องห่วงแม่มาก ห่วงพวกแกเองเถอะ หมั่นสร้างบุญกุศลเข้าไว้ เพราะชีวิตนี้น้อยนัก ความไม่แน่แปรปรวนในยุคนี้สมัยนี้มากมายนัก ก็ฝากคำของพระพุทธเจ้าไว้ จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาทนะลูกๆหลานๆสอนเหล่าเหลนๆด้วย ให้เป็นเด็กดีและเติบโตเป็นคนดีของสังคม

ร่วมทำบุญเลี้ยงพระ

เมื่อวานมีโอกาสได้ไปช่วยพี่ชายจัดทำบุญเลี้ยงพระ โดยไปนอนค้างคืนก่อน แต่ก็นอนไม่หลับ นอนแต่สี่ทุ่ม ตื่นขึ้นมาตอนตีหนึ่ง มาหิวอะไรตอนนี้ ซื้อนมมาว่าจะไว้กินตอนเช้าก็เลยเอามากินซะกลางดึก กลับมานอน พุท-โธ ก็แล้ว นอนนึกคำถวายข้าวพระพุทธได้ครึ่งลืมครึ่งนึกเท่าไรก็ไม่ออก อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ลุกขึ้นมาหยิบขนมไข่ในกระเป๋าเอามากินอีก เออดีขึ้นอีกหน่อย นอนไม่หลับแน่หาอะไรอ่านดีกว่าเพื่อจะง่วง หยิบหนังสือเล่มใหญ่ขึ้นมาอ่าน “Wireless LAN” ไม่กี่หน้าคงง่วงแน่ อ่านไปๆจบไป 2 Chapter กว่า ตีสี่พี่ตื่นชวนไปตลาดด้วยกัน ดีเลยอยากเดินตลาดยิ่งเจริญนานแล้ว พอไปถึงตลาดนี้คึกคักมาก ตลาดยิ่งมีทุกสิ่งให้เลือกสรรค์จริงๆ หน้าที่เราสองคนคือเดินตามถือของให้พี่สะใภ้ กลับมาถึงบ้านก็มาเปิดดูข่าว ทราบข่าวหลวงตาบัวเมื่อตอนตีห้ากว่าๆ แต่ตอนนั้นฟังข่าวไม่รู้สึกอะไรเลย(แต่เช้านี้สิ) เช้าก็จัดสถานที่ เตรียมข้าวของ เช้าวันอาทิตย์อากาศดีมาก รู้สึกดีจริงๆ วันนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นมัคทายกจำเป็น นานๆได้เป็นที โชคดีที่มีพี่เลี้ยง และแล้วก็ผ่านการถวายข้าวพระพุทธไปได้(กำลังใจคือเดี๋ยวก็คล่อง) เสียอย่างเดียวลืมซักซ้อมกับเจ้าของบ้านก่อนเรื่องเล็กน้อยๆ แต่นั่นเราก็ต้องบอกอีกที มันก็หน้าที่เราอยู่แล้ว มาดูพระฉันอาหารก็ง่ายดีคล้ายๆพระป่าคือตักอาหารเวียนแล้วก็ฉันในบาตร ถ้าเป็นแถวบ้านเราจัดจนล้นถาด มากเหลือล้นประมาณนั้น การเตรียมอาหารเลยไม่ยาก เสร็จพิธีก็ถึงเวลาของเรากินข้าวเช้าและรวมเที่ยงของผม ซักหน่อยก็พากันมานั่งเล่นกับหลาน นั่งและก็นอน นอนก็นอนไม่หลับทั้งๆที่ง่วงมาก ตื่นมาเล่นกับหลาน รู้สึกว่าหลานเริ่มคุ้นกับเราแล้วหลังจากตอนไปเที่ยวเกาะไม่ยอมให้อุ้มเลย วันนี้หยอกสนุกมาก เด็กผู้หญิงนี้ตลอดเลยชอบอาย ขวยเขิน ทำลายกำแพงนี้ได้ เด็กสนุกกรีดก๊าดเสียงลั่นบ้านแน่นอน เย็นแล้วก็กินข้าวช่วยเก็บข้าวของอีกนิดหน่อยก็กลับ หวังว่ามัคทายกคนใหม่คงมีโอกาสรับงานบ่อยขึ้น และคงจะได้มีโอกาสให้ความรู้ สร้างความเข้าใจแทรกไปบ้างพอกลมกลืน เป็นกำลัง เพิ่มพูนศรัทธาให้มีในพระพุทธศาสนามากขึ้น

 ขำๆ ฮาฮ้า

วันธรรมะสวนะ

เช้าวันนี้เป็นวันธรรมสวนะหรือวันพระวันแรกของเดือนมิถุนายน วันนี้ก็ตื่นแต่เช้าหน่อยเป็นพิเศษ เพราะตั้งจิตตั้งใจไว้มาก ว่าวันนี้จะต้องรักษาศีลแปด(อุโบสถศีล)ให้ได้ สมาทานวิรัติกับตัวเองไว้แล้ววันนี้ หลังจากพยายามมาแล้วครั้งหนึ่งในวันพระใหญ่คือวันวิสาขบูชา แต่ก็พลั้งเผลอฮำเพลงหลายรอบมาก(นิส..สัย) และอีกอย่างหนึ่งที่สงสัยว่าผิดหรือเปล่าก็คือ การทาเครื่องระงับกลิ่นตัว และการทาโลชั่นธรรมดาๆเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว มันผิดหรือเปล่า คงเก็บไว้ถามผู้รู้ภายหลังแล้วกัน เพราะเข้าพรรษาปีนี้ตั้งจิตตั้งใจไว้แล้ว ๓ เดือนขอเพียง ๑๒ วัน แค่นั้นเอง ต้องซ้อมไว้ๆ ซ้อมไว้ก่อน เพื่อรู้ข้อบกพร่องของตนก่อน ส่วนเรื่องน้ำปานะนั้นหย่อนหน่อยแล้วกัน(ขอหน่อยเถอะช่วงซ้อมไม่ไหวจริงๆ)     ขอพูดถึงที่มาของวันธรรมสวนะนิดหนึ่งนะครับ เกิดขึ้นจากในครั้งพุทธกาล เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเห็นว่าเหล่านักบวชในศาสนาอื่นมีการประชุมกัน สนทนานากันเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาในศาสนาของตนๆ จึงได้ทูลพระพุทธเจ้าให้เกิดมีวันแบบนี้เหมือนศาสนาอื่นเขาบ้าง พระพุทธเจ้าจึงกำหนดวันไว้ คือ วันขึ้น ๘ ค่ำ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันแรม ๘ ค่ำ และวันแรม ๑๕ ค่ำ ถ้าหากเดือนไหนเป็นเดือนขาดก็จะเป็นวันแรม ๑๔ ค่ำแทน เมื่อศาสนาพุทธเข้ามาในประเทศไทย ในสมัยกรุงสุโขทัยจึงได้มีการถือเอาวันธรรมสวนะทั้ง ๔ วันนี้ ถือศีล ฟังธรรม เข้าวัดปฏิบัติธรรม สร้างบุญกุศล สั่งสมบารมีกัน หลายๆท่านก็ถือเอาวันวันธรรมสวนะนี้ถือศีล ๘ หรือเรียกว่า ถืออุโบสถศีล คือถือศีล ๘ ในวันวันพระนั่นเอง คนไทยก็ปฏิบัติกันอย่างนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เห็นว่ามันไม่ได้มากได้มายอะไรเลย สามสิบวันเอาแค่สี่วันเท่านั้นเอง นอกนั้นเป็นวันคน จะไปประกอบอาชีพ ทำมาหากินอะไรก็ว่าไป จะขายเนื้อหมู เนื้อไก่ วันพระก็หยุดเว้นไปสักวัน เคยกินเหล้าอยู่ประจำก็อดเอาสักวันหนึ่ง คนโบราณเขาทำกันมาอย่างนั้น       ปัจจุบันหลายๆท่านอาจจะไม่ค่อยได้สนใจวันพระกันเท่าไหร่นัก เพราะวันเหล่านี้มันไม่ได้หยุดทำงาน และไม่ได้ตรงกับวันหยุดบ่อยนัก หรือถึงแม้วันพระจะตรงกับวันหยุดก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ค่อยจะได้สนใจอะไรอยู่ดี ก็เลยเผลอปล่อยจิตปล่อยใจไป โดยมากใจคนเรามักจะไหลลงต่ำเนาะ มักชวนกันไปเที่ยว ไปดื่ม ไปกิน ไปสนุกสนาน บ้าๆบอๆ ไปตามเรื่องตามราวของแต่ละคน เป็นแบบนี้กันซะมากกว่าใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ก็นิยมไปปฏิบัติธรรมกันในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนขัตฤกษ์ วันหยุดยาวกันมาก ทางวัดเองก็จะไม่ขัดศรัทธาเหล่าญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลายเหล่านี้ ทางวัดก็จะมีการจัดกิจกรรม ฟังเทศน์ ฟังธรรม ปฏิบัติกรรมฐานในวันหยุดเหล่านี้เพิ่มเติมอีกด้วย      อันที่จริงการปฏิบัติดี ทำดี ไม่ต้องเลือกวัน เลือกเวลาหรอกเนาะ วันพระนี้เขาก็กำหนดมาสำหรับคนไม่ค่อยได้มีโอกาสมากนักในเรื่องต่างๆที่ได้กล่าวมาไว้ข้างต้นแล้ว ให้เอากับเขาสักหน่อย(อย่าให้มันขี้ฮ้ายหลาย ว่าซั่นเถาะ)ว่างั้นเถอะ เห็นไหมละว่าวันพระนี้ไม่ได้มีหนเดี่ยว โอกาสสร้างบุญสร้างกุศลมีอยู่เสมอ      ทำหน้าที่ให้ถูกต้องๆ ของแต่ละคน มีสัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง แค่นี้ก็เป็นบุญแล้ว